#อย่าทิ้งคนหาค่ำกินเช้า​ #Saveคนกลางคืน​ แคมเปญสะท้อนสังคมจากลุ่มคนที่ถูกมองว่า “ไม่ต้องมีในสังคม” ก็ได้

#อย่าทิ้งคนหาค่ำกินเช้า​ #Saveคนกลางคืน​ แคมเปญสะท้อนสังคมจากลุ่มคนที่ถูกมองว่า “ไม่ต้องมีในสังคม” ก็ได้

#อย่าทิ้งคนหาค่ำกินเช้า​ #Saveคนกลางคืน​
แคมเปญสะท้อนสังคมจากลุ่มคนที่ถูกมองว่า “ไม่ต้องมีในสังคม” ก็ได้
แต่ต้องได้รับผลกระทบจากการถูกสั่งปิดเป็น “กลุ่มแรก” และเป็น “กลุ่มสุดท้าย” ที่ได้กลับมาเปิดทุกครั้ง
เข้าร่วมแคมเปญ #อย่าทิ้งคนหาค่ำกินเช้า​ #Saveคนกลางคืน​ ได้ที่ www.facebook.com/groups/night.owl.thailand 

จากสถานการณ์ COVID-19 ที่เกิดขึ้นในตอนนี้ ได้ทำให้เศรษฐกิจย่ำแย่จนผู้ประกอบการหลายๆ คนโดนผลกระทบที่เลวร้ายกัน
ทั่วหน้ายิ่ง “ธุรกิจภาคกลางคืน” ยิ่งเจ็บหนัก เพราะถูกสังคมทอดทิ้งและจำใจต้องเป็น “กลุ่มแรก” ที่ถูกสั่งปิดและเป็น
“กลุ่มสุดท้าย” ที่ได้กลับมาเปิดทุกครั้ง

พร้อมกับคำถามมากมายที่ต้องการคำตอบ 
สถานบันเทิงคือที่อโคจรจริงหรือไม่ นักดนตรีคือผู้ร้าย และทำไมคนกลางคืนต้องเสเพล?   

The Concert ชวนทุกคนมารับฟังอีกหนึ่งด้านของกลุ่มคนที่ถูกลืม ผ่านวีดีโอสัมภาษณ์ The Concert Insight ตอน คนหาค่ำกินเช้า 




“คนหาค่ำกินเช้า” คำนี้เริ่มต้นมาจากอะไร แล้วคือใครบ้าง? 

- คุณโม้ : มันเกิดจากใน Clubhouse ใช่มั้ย 

- คุณเต๋า : ช่วงตั้งแต่โดนปิดเนี่ย ก็เลยทำการโพสต์ในเพจเพื่อรวบรวมทุกอาชีพ ที่ทำอาชีพกลางคืนที่เดือดร้อน ก็เลยได้เข้าไปใน
Clubhouse บ่อยเพื่อไปหาแนวร่วม แล้วอยู่ดีๆ วันหนึ่งก็มีการพูดประโยคนี้ขึ้นมา และหลายๆ คนในนั้นก็ดันชอบ เลยใช้คำนี้ไปเลย

- คุณเต๋า : ถ้าพูดถึงตอนกลางคืนอาชีพแรกก็จะเป็นพวกร้านเหล้า ผับบาร์ใช่มั้ยครับ แต่จริงๆ แล้วยังมีนักดนตรี คนขับแท๊กซี่กะ
กลางคืน 

- คุณเฟิร์น : คนทำงานในโรงแรมกะดึก 

- คุณดำ : หมอ พยาบาล ก็ยังเป็นเลย 

พอพูดคำว่า “คนกลางคืน” ภาพลักษณ์ หรือ stereotype ก็กลายเป็นคนที่ขี้เมา เสเพล เกเร ดูไม่ดีขึ้นมาทันที เรามองสิ่งเหล่านี้ยังไง? 

- คุณเอก : มันเป็นมยาคติเนอะ ทั้งทางสื่อหรืออะไรก็ตามที่พยายามจะ Blame ให้คนกลางคืนอยู่ในภาพลักษณ์ของการเมามาย
การมีเรื่องมีเล่นยาเสพติด การทำสิ่งผิดกฎหมาย ทั้งที่จริงๆ แล้วคนกลางคืนมีหลายอาชีพ แถมยังมียันคนกลางวันที่ต้องทำ
กลางคืนอีกพ่วง เพื่อให้รายได้มันล่อเลี้ยงเรา นั่นไม่ได้หมายความว่าเขาจะเป็นคนไม่ดี แต่จริงๆ เขาเป็นคนขยัน

- คุณเฟิร์น : จริงๆ ผมว่าอาชีพกลางวันมันก็เท่าเทียมกับอาชีพกลางคืนนะ เคยคิดเล่นๆ ว่าถ้าไม่มีอาชีพอะไรเลยในตอนกลางคืน
โลกมันก็จะหยุดอยู่แบบนี้ จริงๆ แล้วกลางคืนมีอะไรสวยงามมากกว่าที่เราคิด อย่างว่ามันเป็นคำเก่า คนกลางคืน เสเพลนู้นนี่ แต่แล้ว
จริงๆผมว่าชีวิตของคนมันไม่เหมือนกัน กลางวันอีกแบบ กลางคืนอีกแบบ แต่มันเท่าเทียมกันมันไม่สามารถวัดกันได้ด้วยช่วงเวลา
หรอกครับ





มีความเห็นอย่างไรว่า “ผับบาร์ คือ สถานที่อโคจร?” และต้องยอมรับว่าส่วนใหญ่คนมองว่า “คนขาดสติเพราะดื่มเหล้า” ตรงนี้คิดว่ามันจริงมั้ย?

- คุณดำ : จริงๆ แล้วคำว่า “อโคจร” เขากำหนดไว้สำหรับภิกษุครับ เพื่อให้ภิกษุไม่ไปในที่ๆ ไม่เหมาะสมกับสำหรับภิกษุที่เขา
ต้องการมาปฎิบัติธรรมดังนั้นเอาจริงๆ นะครับ โรงหนัง โรงละคร คือที่อโคจรเช่นเดียวกันกับผับบาร์สำหรับภิกษุนะครับ ซึ่งที่ๆ
ทำให้จิตใจหมกมุ่นหรือมีความกำหนัดเนี่ยคือ “อโคจร” จริงๆ มันเป็นเรื่องของศาสนาหนึ่งด้วยซ้ำ ไม่ใช่เรื่องของประชาชนทั้งมวล

- คุณเฟิร์น : ถ้ารวมตัวที่อื่นก็ได้ใช่มั้ยครับ? อยากกินข้าวเดินไปตลาดก็รวมตัว กินข้าวด้วยกันตอนกลางวันก็รวมตัว 

- คุณเต๋า : คือประเด็นว่าอโคจรเนี่ย พวกเราคือคนทั่วไปเนี่ยไม่ได้พูดคำนี้ครับ คำๆ นี้ถูกคนกลุ่มหนึ่งในสังคมพูดขึ้นมาแล้วก็บังคับใช้
กันทุกอย่างพูดทุกวันๆ จนฝังเข้าไปในสมองคน





อยากให้ย้อนเล่าถึงปัญหา สิ่งที่ต้องเจอสถานการณ์โควิดที่ผ่านมาในแต่ละครั้งว่าต้องเจออะไรบ้าง แล้วคิดว่าครั้งไหนหนักที่สุด?

- คุณเต๋า : ผมพูดแทนในฐานะพูดประกอบการแล้วกันว่าครั้งแรกเราเข้าใจและพร้อมจะปิด เพราะวันนั้นเรายังไม่รู้จักโรคนี้เท่าไหร่ มันเป็นสิ่งที่ใหม่มากและพอมีการระบาดเกิดขึ้นทุกคนก็เต็มใจที่ช่วยกันล็อคดาวน์ ถึงแม้รอบนั้นจะปิดนานมาก 4-5 เดือนเลยนะ แล้วก็กลับมาเปิดได้สักพักแล้วก็โดนครั้งที่ 2 พอถามว่ารู้สึกยังไง รู้สึกเจ็บกว่าเดิมเพราะว่าเจ้าของธุรกิจพอคุณล้มตัว คุณก็แพลนทุกอย่างมาซะดิบดีเพื่อมาปิด แต่พอเปิดปุ๊บและเหมือนจะไปได้ดีก็ต้องปิดอีกล่ะ อย่างรอบที่ 2 กับคำว่า “คัสเตอร์” ที่ชอบใช้กัน มันเกิดจากตลาด แต่ใครกันล่ะที่โดนสั่งปิด ปิดก่อนเหมือนเดิม และก็เปิดหลังเหมือนเดิม แล้วรอบนี้หนักเลยเพราะว่าในมุมมองของสังคมกว้างด้วย พอมีคำว่าคัสเตอร์ทองหล่อ คัสเตอร์สถานบันเทิง มันทำให้นิ้วที่พร้อมจะชี้มาเนี่ย มันชี้เลยโดยอัตโนมัติเลย ปีหนึ่งที่ผ่านมาการระบาดมันเกิดขึ้นเยอะแยะมากมาย ไปดูเลยว่ามันเกิดขึ้นที่ไหนบ้าง มันเกิดขึ้นได้ทุกเวลา ทุกนาทีทุกวินาที ทุกประเภทอาชีพ ทุกสถานที่ แม้แต่ในโรงเรียน ตลาด ร้านอาหารทั้งกลางคืน กลางวัน โรงงาน ออฟฟิศ มีหมดครับ ทุกที่ครับ ในมุมพวกเราเลยรู้สึกว่าโดนทอดทิ้งเพราะว่าการที่ไม่ได้รับการเยียวยาหรือการถูกมอบความช่วยเหลือเลยหรือแม้แต่เข้ามาคุยกับเราจากภาครัฐมันก็ส่วนนึง อีกส่วนนึงที่สำคัญอย่างสังคมเองก็เหมือนกับว่าไม่เข้าใจด้วย ซึ่งที่เราขอก็คือเข้าใจเราหน่อยแหละหลักๆ 

- คุณเฟิร์น : อาชีพนักดนตรีกลางคืน เงินมันเป็นวันต่อวัน ไม่ได้เล่นก็ไม่มีเงิน ออกมาก็มีค่าใช้จ่าย บางคนมีครอบครัว บางคนต้องเลี้ยงพ่อแม่ที่ป่วย การที่ไม่มีงานทำก็เจ็บอ่ะ แต่เราไม่ใช่เชื้อโรคนะครับที่เป็นคนแพร่เชื้อโดยตรง แล้วก็มีเพื่อนนักดนตรีผมติดหลายท่าน บางคนก็เสียชีวิตด้วย ซึ่งก็เป็นเรื่องที่น่าเสียดาย แต่กลับถูกตราหน้าว่าเราเนี่ยเป็นตัวกระจายเชื้อโรค





สำหรับผู้ประกอบการธุรกิจคราฟต์เบียร์เจอกฎหมายที่ปิดกั้นการขาย ไม่ว่าจะเป็นในร้านและออนไลน์ แถมภาครัฐยังไม่ได้เยียวยาอะไรอีก ส่วนตัวพี่เอกมีความคิดเห็นยังไงบ้าง?

- คุณเอก : ปกติธุรกิจแอลกอฮอล์ก็โดนกฎหมายครอบไว้อยู่แล้วระดับหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นการห้ามโฆษณา ซื้ออะไรมาใหม่ก็บอกใครไม่ได้ แช่ไว้ในตู้ไม่มีใครรู้ และด้วยคราฟต์เบียร์มันเป็นโปรดักซ์ที่มีอายุโดยเฉพาะเบียร์สด อยากจะลดเพื่อเคลียร์เบียร์ทั้งหมดก่อนที่มันจะเสียก็บอกใครไม่ได้ เพราะแอกกอฮอล์ห้ามทำโปรโมชั่นอะไรทั้งสิ้น ซึ่งถ้าหลังไมค์มีการดักล่อซื้อก็โดนจับ เพราะถือเป็นการเชิญชวนให้ซื้อ  และแม้แต่ทางกระทรวงดิจิทัลเองก็ยังตอบไม่ได้ว่าการขายออนไลน์มันครอบคลุมแค่ไหน เช่น ถ้าเอาแอปพลิเคชัน Line โทรมาสั่งซื้อเบียร์ยังงี้อ่ะผิด แต่ถ้าโทรซื้อแล้วเดินไปรับยังงี้ไม่ผิด เพราะถือว่าเป็นการใช้โทรศัพท์ 





ได้รับความช่วยเหลือจากภาครัฐอย่างไร ความช่วยเหลือนี้เพียงพอหรือไม่ในแต่ละครั้ง?

- คุณเต๋า : ความช่วยเหลือเนี่ยมันไม่ได้ไปถึงจุดนั้นเลยเพราะมันเป็นการคุยในเชิงปฎิบัติเท่านั้น คือเขา Hear แต่เขาไม่ได้ listen
เขาฟังแล้วก็ผ่านออกไปเขาแค่รับเรื่องไว้แต่ไม่ได้สนใจเพราะเขาตั้งกำแพงเอาไว้แล้วว่าพวกคุณคืออาชีพที่ไม่ต้องมีในสังคม 

- คุณโม้ : ทุกวันนี้คนในประเทศไทยยังขับเคลื่อนโดยการหักเงินภาษีเพื่อเอามาบริหารชีวิตและปากท้องของประชาชน มันก็แปลก
ที่เขารู้สึกว่าสิ่งที่เขามอบไปทำไมเขาไม่ได้กลับมาบ้าง มันควรจะต้องเท่าเทียมกันมั้ย อย่างนักดนตรีเนี่ยเขาก็เสียภาษีเหมือนกันนะ
บางคนเสียประกันสังคมด้วย แต่ทำไมถึงไม่ได้สิทธิ์ที่ไม่สมควรจะได้บอกเลยว่าการกดสิทธิ์โครงการเนี่ย กดยากกว่าบัตร Blackpink อีกพูดเลย 





โรคนี้จะอยู่กับเราอีกสักพักและยาวๆ เรามีแผนที่จะปรับพฤติกรรม ปรับรูปแบบ ปรับการใช้ชีวิตของเราไปด้วยมั้ย?

 - คุณเต๋า : ณ วันที่เขาให้ผ่อนเท่าไหร่ ผมผ่อนเท่านั้นนะ ที่นี่สิ่งที่ผมจะพูดคือ ไม่ว่าร้านไหนจะทำ ไม่ทำยังไง ภาครัฐและสังคมต้องเดาว่าเขาทำก่อนนะ เหมือนกับเราจะพยายามตัดสินว่าเขาผิดทั้งๆ ที่เขาไม่ผิด การตัดสินว่าเขาผิดต้องมีหลักฐาน 100 ร้านที่เปิดเนี่ย ณ เขตนี้ การติดระบาดเป็น 0 แต่ซูมกันเลย เดากันเลยว่าโอเคเข้าทำถูก อีกเขตนึงร้านติดอยู่ 3 ร้าน ไปดูร้านนั้นครับ ทำมั้ย 3 ร้านเนี่ย อ่ะผิด สั่งปรับ สั่งปิด สั่งอะไรก็ตาม นโยบายว่ากันไป และสิ่งนี้จริงๆ คุณก็ทำกับธุรกิจกลางวันทั้งหมดเลยนะ คุณก็ไม่ใช่ว่าคุณทำกันอยู่ แต่พอมันเป็นกลางคืนปุ๊บ คุณไม่ทำไง คุณกลับว่า คุณเดาว่าทุกคนทำผิดหมดเลย จริงๆ ที่พูดไม่ได้พูดลอยๆ นะครับ ปีกว่าที่ผ่านมาเนี่ย ก็ไปย้อนดูตัวเลขกันได้ว่าผู้ติดจากสถานบันเทิงจริงๆ แล้วหรือร้านที่เรียกว่าเป็น Cluster เนี่ยจริงๆ น่ะมันมีเยอะแค่ไหนหรอครับ มันนับยังไม่ถึง 5 นิ้วเลยครับ จริงๆ อันนี้เรื่องจริงไปนับกันดูได้เลย เพราะงั้นเนี่ยก็ ทำไมต้องมาเรียกร้องอะไรมาตรการก็ทำกันอยู่แล้ว ทำกันอยู่แล้วครับ แล้วมันก็ไม่ติด เราแค่อยากมีรายได้เหมือนที่เรามีหรือจริงๆ น้อยกว่าที่มีด้วยซ้ำ แต่ว่าให้มันไปต่อได้ครับ

- คุณเอก : ก็จะบอกว่าปรับจนไม่รู้จะปรับยังไงแล้ว ก็เลยต้องเกิดความเคลื่อนไหวที่มี #อย่าทิ้งคนหาค่ำกินเช้า #Saveคนกลางคืน ที่เรามานั่งคุยกันอยู่ตรงนี้ เพราะว่าเรารู้สึกว่าปรับกันจนไม่รู้จะปรับยังไงแล้วจริงๆ ก็เราคุยกันอยู่ในกรุ๊ปนี้แหละว่ามันถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องเคลื่อนไหวให้กระแสสังคมเขาเห็น มีกระแสออกมาว่าจริงๆ แล้วคนกลางคืนที่เขาพูดกันน่ะ เราเดือดร้อนกันยังไงก่อนที่เราจะไปคุยกับภาครัฐ ก็ #อย่าทิ้งคนหาค่ำกินเช้า และก็ #Saveคนกลางคืน ผมคิดว่าเราจะต้องขอทั้งความเห็นใจ ทั้งการแชร์ แชร์ผลกระทบให้คนรอบๆ รู้ว่าเราเจอกับอะไรอยู่ ส่งข่าวออกไปให้ทุกคนรู้ว่าเรากำลังเคลื่อนไหวตรงนี้กันอยู่


สุดท้ายพี่ๆ ธุรกิจภาคกลางคืน อยากฝากกำลังใจอะไรถึง ชาวหาค่ำกินเช้าทุกคนบ้าง?

- คุณดำ : กำลังใจที่ดีมากๆ ของผมคือมีผู้หญิงคนหนึ่งบอกว่าเป็นคนไม่เที่ยว ไม่กินเหล้า ไม่สูบบุหรี่ แต่เขาเห็นด้วยกับเรา คือเขาเข้าใจว่านี่คืออาชีพหนึ่งที่ขับเคลื่อนประเทศเหมือนกันไม่เห็นจำเป็นที่จะต้องแบ่งแยก นี่คือกำลังใจที่ดีที่สุดของผมเลยในการที่มาผลักดันตรงนี้ แต่ว่ามันก็ยังมีนะคนที่เห็นอกเห็นใจแม้แต่ว่าเขาไม่ได้เดือดร้อนกับเรา คนเราเนี่ยผมเชื่อว่ายังมีอยู่ในสังคมและผมต้องการพลังตรงนี้ด้วย และนี่จะเป็นพลังที่ส่งต่อให้คนหาค่ำกินเช้าอย่างพวกเรา






ในสถานการณ์แบบนี้ทุกๆกำลังใจเป็นสิ่งสำคัญ คุณสามารถร่วมส่งกำลังใจและเป็นอีกหนึ่งกระบอกเสียงด้วยการเข้าร่วมแคมเปญ #อย่าทิ้งคนหาค่ำกินเช้า​ #Saveคนกลางคืน​ ได้ที่ www.facebook.com/groups/night.owl.thailand